การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอะแดปเตอร์ MagSafe

เรียนรู้วิธีการแก้ไขปัญหาอะแดปเตอร์ MagSafe ตั้งแต่หนึ่งอาการขึ้นไปต่อไปนี้

 
  • อะแดปเตอร์จ่ายไฟของคุณไม่ชาร์จไฟให้คอมพิวเตอร์
  • LED บนขั้วต่ออะแดปเตอร์ไม่ติดสว่างเมื่อเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์
  • อะแดปเตอร์ชาร์จไฟให้คอมพิวเตอร์เป็นระยะๆ เท่านั้น
  • ฉนวนสีขาวของอะแดปเตอร์แยกออกจากปลายแม่เหล็กของขั้วต่อ MagSafe
  • ขั้วต่อ MagSafe บนอะแดปเตอร์หรือคอมพิวเตอร์มีฝุ่นผงในขั้วต่อ
  • คุณเห็นประกายไฟ
  • ขั้วต่อ MagSafe บนอะแดปเตอร์หรือคอมพิวเตอร์มีปัญหาเกี่ยวกับขาภายใน

Apple มีอะแอปเตอร์จ่ายไฟที่มีขั้วต่อต่างๆ ระบุอะแดปเตอร์ของคุณจากตัวอย่างด้านล่างก่อนแก้ไขปัญหาต่อไป

อะแดปเตอร์แบบ Lอะแดปเตอร์แบบ L
ขั้วต่อชนิด Barrel ขั้วต่อ MagSafe แบบ "T" ขั้วต่อ MagSafe แบบ "L" ขั้วต่อ MagSafe 2

หมายเหตุ

  • หากคุณได้รับอะแดปเตอร์ MagSafe อะไหล่ที่มีขั้วต่อ MagSafe แบบ "L" โดยที่ก่อนหน้านี้คุณเคยใช้ขั้วต่อ MagSafe แบบ "T" ขั้วต่อ MagSafe แบบ "L" จะสามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์กับคอมพิวเตอร์ Apple ของคุณ
  • อะแดปเตอร์ Magsafe 2 จะไม่สามารถใช้งานได้กับคอมพิวเตอร์ Apple ที่มีขั้วต่อซึ่งปกติแล้วจะใช้อะแดปเตอร์ MagSafe แบบ "T" และ "L"
  • คุณสามารถแปลงอะแดปเตอร์ MagSafe แบบ "T" และ "L" เพื่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ MagSafe 2 ได้โดยใช้ อะแดปเตอร์แปลง MagSafe เป็น MagSafe 2
  • ขั้วต่อ MagSafe และพอร์ต MagSafe บน Mac Notebook ของคุณจะมีแม่เหล็กที่อาจลบข้อมูลบนบัตรเครดิตหรืออุปกรณ์แม่เหล็กอื่นๆ ได้ เพื่อเป็นการรักษาและป้องกันข้อมูลของคุณ ให้วางสื่อแม่เหล็กให้ไกลจากปลายอะแดปเตอร์ MagSafe และให้ห่างจากพอร์ต MagSafe

การแก้ไขปัญหา

ทำตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อระบุหาสาเหตุของปัญหาและค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาที่คุณสามารถทำได้

หากคุณเห็นประกายไฟ

บางครั้งเมื่อคุณเสียบปลั๊กอะแดปเตอร์จ่ายไฟกับเต้าเสียบที่ผนัง คุณอาจเห็นประกายไฟ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ตามปกติและเมื่อคุณเสียงอุปกรณ์ไฟฟ้ากับเต้าเสียบที่มีไฟฟ้า หากประกายไฟมาจากที่อื่นนอกจากเหล็กเสียบของปลั๊ก หากคุณพบความเสียหายหรือสีที่เปลี่ยนไปของอะแดปเตอร์ หรือหากคุณมีข้อกังวลอื่นๆ เกี่ยวกับประกายไฟ โปรด ติดต่อ Apple

การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอะแดปเตอร์จ่ายไฟ

  1. ตรวจสอบว่าคุณใช้เต้าเสียบที่มั่นใจว่าใช้งานได้ดี

    ตรวจสอบว่าเต้าเสียบที่คุณกำลังใช้นั้นสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้อง เสียบอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มั่นใจว่าใช้งานได้ เช่น โคมไฟ โทรทัศน์ หรือนาฬิกา แล้วยืนยันว่าสามารถเปิดเครื่องได้อย่างถูกต้อง

  2. ตรวจสอบว่าคุณใช้อะแดปเตอร์จ่ายไฟที่เหมาะสมสำหรับคอมพิวเตอร์พกพาของคุณ

    เลือกอะแดปเตอร์จ่ายไฟที่เหมาะสมสำหรับคอมพิวเตอร์แบบพกพา Apple ของคุณ คุณสามารถใช้อะแดปเตอร์จ่ายไฟที่มีกำลังไฟสูงกว่าได้แต่ไม่สามารถใช้แบบที่มีกำลังไฟต่ำกว่าได้ มิเช่นนั้นจะมีปัญหาในการทำงาน

  3. ค้นหาปัญหาสัญญาณรบกวนในสาย

    ถอดปลั๊กอะแดปเตอร์จ่ายไฟจากผนัง ปล่อยพักไว้เป็นเวลา 60 วินาที จากนั้นเสียบอะแดปเตอร์อีกครั้ง

    • หากอะแดปเตอร์ทำงานได้หลังการ "พัก" 60 วินาทีนี้ คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับสัญญาณรบกวนในสายกับแหล่งจ่ายไฟของคุณ คุณควรรีเซ็ทอะแดปเตอร์เป็นระยะๆ เพื่อทำการพักเป็นช่วงๆ แบบนี้ ปัญหานี้เกิดขึ้นเมื่อคุณสมบัติ "การป้องกันแรงดันไฟฟ้าเกิน" ของอะแดปเตอร์ไฟ AC รับรู้ถึงสัญญาณรบกวนในพื้นดินจึงปิดการทำงานของอะแดปเตอร์
    • แหล่งสัญญาณรบกวนในสายอาจมาจากไฟที่มีบัลลาสต์ ตู้เย็น หรือตู้เย็นขนาดเล็กที่ใช้วงจรเดียวกันกับคอมพิวเตอร์ของคุณ ลักษณะการทำงานนี้อาจไม่เกิดขึ้นหากคุณเสียบอะแดปเตอร์จ่ายไฟกับแหล่งจ่ายไฟที่ไม่มีการรบกวน (UPS) หรือเสียบเข้ากับวงจรอื่น
    • หากอะแดปเตอร์ยังคงแสดงลักษณะการทำงานนี้บนเต้าเสียบที่ใช้งานได้ คุณก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน
  4. ตรวจสอบว่าคุณใช้อะแดปเตอร์ในพื้นที่ที่ระบายอากาศได้ดี

    อะแดปเตอร์จ่ายไฟอาจร้อนมากระหว่างการใช้งานปกติเนื่องจากความร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานจะกระจายออกจากตัวอะแดปเตอร์ ให้เสียบอะแดปเตอร์จ่ายไฟโดยตรงในเต้าเสียบหรือวางไว้บนพื้นในตำแหน่งที่อากาศถ่ายเทสะดวก หากคุณใช้อะแดปเตอร์ MagSafe ของคุณในพื้นที่ที่ไม่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เช่น บนโซฟา บนพรมหนา บนเตียง หรือหมอน หรือหากอะแดปเตอร์ MagSafe ถูกคลุมด้วยผ้าห่มหรือฉนวนอื่นๆ อะแดปเตอร์อาจปิดเองเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดกับอะแดปเตอร์ได้ อะแดปเตอร์อาจยังคงมีความร้อนอยู่ในสถานะนี้ และควรปล่อยให้เย็นลงก่อนจับ

  5. ตรวจหาปัญหาเกี่ยวกับปลั๊กไฟ AC (หรือเรียกว่า "ปลั๊กพับ") หรือปัญหาเกี่ยวกับสายไฟ AC แบบสามตา

    หากคุณใช้ปลั๊กไฟ AC (หรือเรียกว่า "ปลั๊กพับ") กับอะแดปเตอร์จ่ายไฟ ให้เปลี่ยนไปใช้สายไฟ AC แบบสองหรือสามตา หรือหากคุณใช้สายไฟ AC แบบสองหรือสามตา ให้เปลี่ยนไปใช้ปลั๊กไฟ AC ขั้วต่อสามารถเชื่อมต่อกับอะแดปเตอร์ได้อย่างง่ายดายดังแสดงด้านล่าง

    • หากตอนนี้อะแดปเตอร์ชาร์จไฟให้คอมพิวเตอร์ได้แล้ว และ LED ในขั้วต่อ MagSafe ติดสว่าง แสดงว่าปลั๊กไฟ AC "ปลั๊กพับ" หรือสายไฟ AC ที่ใช้เดิมจะไม่สามารถทำงานได้ และควรหยุดใช้ขั้วต่อนั้นจนกว่าจะมีการใช้ขั้วต่อทดแทน โปรดดูที่หัวข้อ เรียนรู้เพิ่มเติม ที่ด้านล่างของบทความเพื่อขอความช่วยเหลือต่อไป
    • หาก LED ไม่ทำงานหรืออะแดปเตอร์จ่ายไฟไม่ชาร์จไฟให้คอมพิวเตอร์ คุณควรแก้ไขปัญหาต่อไปโดยทำตามขั้นตอนในบทความนี้ ตรวจหาปัญหาเกี่ยวกับการคลายเกลียวของสายหรือขาภายในที่ติดขัดและขั้วต่อที่สกปรก

    ทำตามเคล็ดลับต่อไปนี้เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีที่สุดของปลั๊กไฟ AC หรือสายไฟแบบสามตา

    • ก่อนใช้อะแดปเตอร์จ่ายไฟกับปลั๊กไฟ AC หรือสายไฟแบบสามตา ให้ตรวจสอบว่าปลั๊กไม่มีสิ่งแปลกปลอมและฝุ่นผงใดๆ ที่อาจเกาะอยู่จากการใช้งานครั้งล่าสุด
    • ตรวจสอบปลั๊กไฟ AC หรือสายไฟแบบสามตาเป็นระยะๆ เพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในสภาพการทำงานที่ดี ดังได้ระบุไว้ในบทความนี้
    • เมื่อคุณเก็บอะแดปเตอร์จ่ายไฟ ให้ตรวจสอบว่าที่ขาเสียบไฟฟ้า (โลหะ AC) บนปลั๊กไฟ AC ถูกพับเข้าไปเพื่อการเก็บแล้ว
    • เมื่อคุณใช้ปลั๊กไฟ AC ให้วางปลั๊กโดยพับโลหะเข้าไปในอะแดปเตอร์จ่ายไฟให้แน่น จากนั้นเสียบขา AC เข้าไปในตำแหน่งที่ยื่นออกมาจนสุดก่อนที่คุณจะเสียบอะแดปเตอร์ในเต้าเสียบไฟฟ้า

    หากคุณสังเกตเห็นสิ่งต่อไปนี้ ให้หยุดใช้ปลั๊กไฟ AC หรือสายไฟแบบสามตา

    • ขา AC งอ (ห้ามดัดขาที่งอให้กลับมาตรง)
    • ขา AC ไม่ล็อกเข้ากับที่ (ปลั๊กไฟ AC เท่านั้น)
    • ขาโยกได้ (จากด้านหนึ่งไปด้านหนึ่ง) เมื่อล็อกเข้ากับตำแหน่งเปิดบนปลั๊กไฟ AC หรือรู้สึกหลวมเมื่อเสียบกับสายไฟแบบสามตา
    • ขา AC มีจุดสีดำหรือความเสียหายอื่นๆ ที่มองเห็นได้
    • อะแดปเตอร์ไม่เปิดทำงานหรือเปิดเป็นระยะๆ เมื่อเสียบเข้ากับแหล่งจ่ายไฟที่มั่นใจว่าใช้งานได้
    • มีรอยขาดหรือหรือแตกหักของฉนวนบนสายไฟแบบสามตา
    • มีเสียงดังขึ้นจากภายในปลั๊กไฟ AC หรือที่อื่นบนสายไฟแบบสามตา
  6. ตรวจหาข้อกังวลเกี่ยวกับการคลายเกลียวของสาย

    คลายเกลียวของสายคือสภาพที่สายไฟ DC (สายบางๆ ที่เชื่อมต่อขั้วต่อ MagSafe กับอะแดปเตอร์จ่ายไฟ) แยกออกจากปลายขั้วต่อ MagSafe หรือจากปลายอีกข้างหนึ่งของสายบางๆ ที่อะแดปเตอร์จ่ายไฟ ในการใช้งานอย่างต่อเนื่อง สายไฟอาจเปลี่ยนสีและวัสดุยางหล่ออาจเปลี่ยนรูป  สิ่งที่บ่งบอกถึงการคลายเกลียวของสายอีกอย่างที่บางครั้งไม่เห็นได้ด้วยตาคือการชาร์จหรืออาการผิดปกติของ LED เป็นระยะ คุณสามารถตรวจสอบสภาพนี้ได้โดยการขยับสายกับขั้วต่อ MagSafe ไปมาใกล้ๆ และสังเกตดูว่าตัวแสดง LED (ซึ่งจะเป็นเป็นสีเหลืองอำพันหรือเขียว) กระพริบเปิดปิดหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับตำแหน่งของสายไฟ

    ตัวอย่างของการคลายเกลียวของสายบนอะแดปเตอร์ MagSafe แบบ "T"

    สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลดปัญหาการคลายเกลียวของสาย โปรดดูบทความต่อไปนี้

    คุณไม่ควรใช้อะแดปเตอร์จ่ายไฟที่มีความเสียหายจากการคลายเกลียวของสายหรือสายที่ไม่มีฉนวนหรือยาง อย่าพยายามซ่อมแซมสายอะแดปเตอร์ในสถานะนี้

  7. ตรวจหาขาภายในที่ติดขัดบนขั้วต่อ MagSafe

    บางครั้งคุณอาจพบว่าอะแดปเตอร์ MagSafe สำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณไม่ทำงานอย่างถูกต้องเนื่องจากขาภายในขั้วต่อ MagSafe ติดขัด

    เช่น ขาภายในบนขั้วต่อของอะแดปเตอร์ MagSafe ที่แสดงด้านล่างมีอาการติดขัดที่ด้านล่าง

    ตัวอย่างของขากราวนด์บนอะแดปเตอร์ที่ติดขัด ปัญหานี้อาจทำให้มองเห็นอะแดปเตอร์ได้แต่อะแดปเตอร์ไม่ชาร์จ

    ตัวอย่างของขาภายในตรวจสัญญาณบนอะแดปเตอร์ที่ติดขัดยู่ ปัญหานี้อาจทำให้อะแดปเตอร์ชาร์จได้แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ และอาจทำให้ LED บนอะแดปเตอร์ไม่ติดสว่าง

    หากคุณคิดว่าขาภายในติดขัดที่ด้านล่าง ให้ลองถอดปลั๊กออกและเสียบอะแดปเตอร์ MagSafe ในพอร์ตชาร์จไฟอีกครั้ง ขาภายในควรจะขยับได้และปรับตัวเองให้อยู่ในตำแหน่งธรรมชาติได้ หากคุณพบว่าขาภายในไม่ปรับตัวเอง ให้ค่อยๆ กดขาภายในไปด้านข้างโดยใช้ปลายนิ้วหรือพื้นผิวนุ่มที่ไม่ทำให้เกิดรอย เพื่อดูว่าขาภายในจะปรับตัวเองหรือไม่ ถ้าขาภายในไม่ปรับตัวเอง โปรดดูที่หัวข้อ เรียนรู้เพิ่มเติม ที่ด้านล่างของบทความนี้

  8. การตรวจหาและทำความสะอาดผงฝุ่นออกจากขั้วต่อ MagSafe ของคุณ

    อย่าลืมตรวจสอบและทำความสะอาดสิ่งสกปรกหรือสิ่งที่บ่งบอกถึงความเสียหายของทั้งขั้วต่ออะแดปเตอร์ MagSafe และพอร์ตพลังงานบนคอมพิวเตอร์แบบพกพาของ Apple ของคุณอย่างสม่ำเสมอ

    ตัวอย่างของขั้วต่อ MagSafe บนคอมพิวเตอร์ Apple ที่ต้องทำความสะอาดฝุ่นผง

    เมื่อต้องการทำความสะอาดพอร์ต MagSafe บนโน้ตบุ๊ก Mac ของคุณ ให้ปลดอะแดปเตอร์จากเต้าเสียบ ค่อยๆ กำจัดฝุ่นผงออกด้วยปลายสำลีหรือแปรงขนอ่อน ระวังอย่าให้ใยสำลีติดอยู่ในพอร์ต MagSafe หมายเหตุ: ถอดแบตเตอรี่ออกจากคอมพิวเตอร์หากคุณใช้โน้ตบุ๊ก Mac ที่สามารถถอดแบตเตอรี่ได้

    เมื่อต้องการทำความสะอาดขั้วต่อ MagSafe และบริเวณขาภายใน ให้ปลดอะแดปเตอร์ออกจากเต้าเสียบและจากคอมพิวเตอร์ ค่อยๆ กำจัดฝุ่นผงออกด้วยปลายสำลีหรือแปรงขนอ่อน ระวังอย่าให้ใยสำลีติดอยู่ในเต้ารับขาภายใน และอย่างอหรือทำให้ขาภายในเสียหาย

  9. ตรวจหาโปรแกรมอัพเดตซอฟต์แวร์

    ในบางกรณี อาจมีโปรแกรมอัพเดตระบบปฏิบัติการหรือ เฟิร์มแวร์ สำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณ ซึ่งจะปรับปรุงการติดต่อสื่อสารกับอะแดปเตอร์จ่ายไฟของคุณ เมื่อต้องการตรวจหาโปรแกรมอัพเดตซอฟต์แวร์ ให้ไปที่เมนู Apple () แล้วเลือกตัวเลือกสำหรับ การอัพเดตซอฟต์แวร์ ซึ่งจะเป็นการค้นหาโปรแกรมอัพเดตสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณ ซึ่งคุณจะสามารถตรวจสอบและติดตั้งได้

  10. ดูว่าคอมพิวเตอร์ชาร์จอยู่และ LED สว่างอยู่หรือไม่

    หลังจากทำตามขั้นตอนข้างต้นเหล่านี้แล้ว ให้ดูว่าคอมพิวเตอร์ชาร์จอยู่และ LED สว่างอยู่หรือไม่ ถ้าไม่ โปรดดูที่หัวข้อ เรียนรู้เพิ่มเติม ด้านล่าง

เรียนรู้เพิ่มเติม

ไม่ว่าผลิตภัณฑ์ของคุณจะยังอยู่หรือไม่อยู่ในระยะการรับประกันหรือไม่ก็ตาม คุณก็สามารถนำอะแดปเตอร์ของคุณไปที่ผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจาก Apple หรือร้านค้าปลีกของ Apple เพื่อทำการประเมินและเปลี่ยนใหม่ในกรณีที่จำเป็น ระหว่างที่รอผลการประเมิน คุณอาจเข้าเกณฑ์หรือไม่เข้าเกณฑ์ในการรับอะแดปเตอร์สำรองโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายได้ สัญญาณของความเสียหายจากอุบัติเหตุจะทำให้ความคุ้มครองเป็นโมฆะ อย่าลืมนำคอมพิวเตอร์ที่ใช้กับอะแดปเตอร์มาด้วย ซึ่งจำเป็นในการเปลี่ยนอะแดปเตอร์


อุปกรณ์พกพา

MacBook, MacBook Pro และ MacBook Air

เมื่อต้องการทำความสะอาดด้านนอกของ MacBook, MacBook Pro หรือ MacBook Air อันดับแรกให้ปิดการทำงานคอมพิวเตอร์ของคุณแล้วถอดปลั๊กอะแดปเตอร์ไฟฟ้า จากนั้นใช้ผ้านุ่มไม่มีขนที่หมาดเล็กน้อยในการทำความสะอาดด้านนอกของคอมพิวเตอร์ อย่าให้ความชื้นสัมผัสกับช่องเปิดได้ อย่าสเปรย์ของเหลวบนคอมพิวเตอร์โดยตรง ห้ามใช้สเปรย์พ่น ตัวทำละลาย แอมโมเนีย สารขัดถู หรือสารทำความสะอาดที่มีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ที่อาจทำความเสียหายให้กับผลิตภัณฑ์

เมื่อต้องการทำความสะอาดหน้าจอบน MacBook, MacBook Pro หรือ MacBook Air ของคุณ อันดับแรกให้ปิดการทำงานคอมพิวเตอร์ของคุณแล้วถอดปลั๊กอะแดปเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ผ้าเช็ดที่ให้มาด้วยหมาดเล็กน้อยด้วยน้ำเพียงอย่างเดียวแล้วเช็ดหน้าจอ อย่าพ่นของเหลวบนหน้าจอโดยตรง

สิ่งสำคัญ: เคสด้านล่างของ MacBook (13 นิ้ว ปลายปี 2009) และ MacBook (13 นิ้ว กลางปี 2010) ใช้วัสดุนุ่มกันลื่น ใช้ผ้าเช็ดไมโครไฟเบอร์ 3M สีเทาหรือผ้าไม่มีขนไม่ย้อมสีเพื่อทำความสะอาดเคสด้านล่าง


เดสก์ท็อป

Mac Pro

เมื่อต้องการทำความสะอาดด้านนอกของ Mac Pro ของคุณ อันดับแรกให้ปิดการทำงาน Mac Pro ของคุณแล้วถอดปลั๊กไฟฟ้ารวมทั้งอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่อื่นๆ จากนั้นใช้ผ้านุ่มไม่มีขนที่หมาดเล็กน้อยในการทำความสะอาดด้านนอกของคอมพิวเตอร์ อย่าให้ความชื้นสัมผัสกับช่องเปิดได้ อย่าสเปรย์ของเหลวบนคอมพิวเตอร์โดยตรง ห้ามใช้สเปรย์พ่น ตัวทำละลาย แอมโมเนีย สารขัดถู หรือสารทำความสะอาดที่มีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ที่อาจทำความเสียหายให้กับผลิตภัณฑ์

Mac mini

เมื่อต้องการทำความสะอาดด้านนอกของ Mac mini ของคุณ อันดับแรกให้ปิดการทำงาน Mac mini ของคุณแล้วถอดปลั๊กไฟฟ้ารวมทั้งอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่อื่นๆ จากนั้นใช้ผ้านุ่มไม่มีขนที่หมาดเล็กน้อยในการทำความสะอาดด้านนอกของคอมพิวเตอร์ อย่าให้ความชื้นสัมผัสกับช่องเปิดได้ อย่าสเปรย์ของเหลวบนคอมพิวเตอร์โดยตรง ห้ามใช้สเปรย์พ่น ตัวทำละลาย แอมโมเนีย สารขัดถู หรือสารทำความสะอาดที่มีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ที่อาจทำความเสียหายให้กับผลิตภัณฑ์

iMac

เมื่อต้องการทำความสะอาดด้านนอกของ iMac ของคุณ อันดับแรกให้ปิดการทำงาน iMac ของคุณแล้วถอดปลั๊กไฟฟ้ารวมทั้งอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่อื่นๆ จากนั้นใช้ผ้านุ่มไม่มีขนที่หมาดเล็กน้อยในการทำความสะอาดด้านนอกของคอมพิวเตอร์ อย่าให้ความชื้นสัมผัสกับช่องเปิดได้ อย่าสเปรย์ของเหลวบนคอมพิวเตอร์โดยตรง ห้ามใช้สเปรย์พ่น ตัวทำละลาย แอมโมเนีย สารขัดถู หรือสารทำความสะอาดที่มีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ที่อาจทำความเสียหายให้กับผลิตภัณฑ์

เมื่อต้องการทำความสะอาดจอแสดงผลของ iMac ของคุณ อันดับแรกให้ปิดการทำงาน iMac ของคุณแล้วถอดปลั๊กไฟฟ้ารวมทั้งอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่อื่นๆ จากนั้น ทำให้ผ้าที่มาพร้อมกับ iMac หมาด (หรือใช้ผ้านุ่มที่ไม่มีขนและสะอาด) ด้วยน้ำเท่านั้น แล้วเช็ดจอแสดงผล อย่าพ่นของเหลวบนหน้าจอโดยตรง


จอแสดงผล

ยกเลิกการเชื่อมต่อจอแสดงผลจากไฟฟ้า จากการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และจากอุปกรณ์ภายนอก จากนั้น ใช้ผ้าที่มาพร้อมกับจอแสดงผลของคุณ หรือใช้ผ้านุ่มแห้งเช็ดฝุ่นออกจากหน้าจอ หากต้องทำความสะอาดแผงจอหรือเคสแสดงผล ให้ใช้ผ้านุ่มหมาดเล็กน้อยที่ไม่มีขน อย่าให้ความชื้นสัมผัสกับช่องเปิดได้ ห้ามใช้น้ำยาเช็ดกระจก น้ำยาทำความสะอาดเครื่องใช้ภายในบ้าน สเปรย์พ่น ตัวทำละลาย แอมโมเนีย สารขัดถู หรือสารทำความสะอาดที่มีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เพื่อทำความสะอาดจอแสดงผล

คำเตือน: ห้ามทำความสะอาดหน้าจอด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่มีอะซิโตน ใช้น้ำยาทำความสะอาดสำหรับหน้าจอหรือจอแสดงผลโดยเฉพาะ ห้ามสเปรย์น้ำยาทำความสะอาดบนหน้าจอโดยตรงเด็ดขาด เนื่องจากน้ำยาอาจไหลเข้าไปในจอแสดงผลและทำให้เกิดความเสียหายได้


อุปกรณ์ต่อพ่วง

Magic Trackpad, Magic Mouse, Mighty Mouse ไร้สาย และเมาส์ไร้สายของ Apple, เมาส์มีสายของ Apple, Mighty Mouse มีสาย

อันดับแรกให้ปิดอุปกรณ์แล้ว ถอดแบตเตอรี่ออก (หากเมาส์ของคุณเป็นเมาส์มีสาย ให้ดึงออกจากคอมพิวเตอร์ของคุณ) ต่อไป ทำความสะอาดด้านนอกของเมาส์หรือแทร็คแพ็ดด้วยผ้าที่ไม่มีขนหมาดเล็กน้อยด้วยน้ำ  อย่าให้ความชื้นเข้าไปในช่องเปิดต่างๆ หรือใช้สเปรย์พ่น ตัวทำละลาย สารขัดถู หรือสารทำความสะอาดที่มีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์

หากลูกบอลเลื่อนบน Mighty Mouse ของคุณเปลี่ยนสีหรือสกปรก ให้ใช้ผ้าสะอาดไม่มีขนชุบน้ำให้หมาดเล็กน้อยเพื่อทำความสะอาด เช็ดลูกบอลแล้วบริเวณรอบๆ โดยอย่าลืมกลิ้งลูกบอลเพื่อทำความสะอาดโดยรอบ หากรู้สึกว่าการเลื่อนสะดุดหรือหากลูกบอลเลื่อนไม่เลื่อนขึ้นลง หรือไปด้านข้าง ให้ถือ Mighty Mouse เอาหัวลงแล้วเลื่อนลูกบอลอย่างรวดเร็วขณะทำความสะอาดเพื่อช่วยกำจัดฝุ่นผงที่อาจสะสมอยู่บนฮาร์ดแวร์ภายใน ดู การสาธิตภาพยนตร์ QuickTime ของขั้นตอนนี้ (ภาพยนตร์มีขนาดประมาณ 600 KB)

แป้นพิมพ์อะลูมินัมและพลาสติกแบบไร้สายและมีสาย

หากแป้นพิมพ์ของคุณมีสาย ให้ยกเลิกการเชื่อมต่อจากคอมพิวเตอร์ของคุณ หากเป็นแป้นพิมพ์ไร้สาย ให้ปิดแป้นพิมพ์แล้ว ถอดแบตเตอรี่ออก เมื่อต้องการทำความสะอาดด้านนอกของแป้นพิมพ์ ให้ใช้ผ้าที่ไม่มีขนชุบน้ำหมาดเล็กน้อย อย่าให้ความชื้นเข้าไปในช่องเปิดต่างๆ หรือใช้สเปรย์พ่น ตัวทำละลาย สารขัดถู หรือสารทำความสะอาดที่มีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์

ถ้าคุณไม่มีเนื้อที่เหลือ คุณสามารถ อัปเกรดเนื้อที่เก็บข้อมูลของคุณได้ คุณยังสามารถ จัดการเนื้อที่เก็บข้อมูลของคุณ โดยการลดขนาดการสำรองข้อมูล iCloud ของคุณ ลบรูปภาพหรือวิดีโอ หรือไฟล์ที่ลบเก็บไว้ใน iCloud

สำรองข้อมูล iCloud คืออะไร?

Cloud จะสำรองข้อมูลบนอุปกรณ์ของคุณโดยอัตโนมัติ ทั้ง iPhone, iPad และ iPod touch ผ่าน Wi-Fi ทุกวันเมื่อมีการเปิดเครื่อง ล็อก และเชื่อมต่อกับแหล่งจ่ายไฟ ข้อมูลที่อุปกรณ์ของคุณสำรองไว้ใน iCloud จะช่วยให้คุณสามารถตั้งค่าอุปกรณ์ใหม่หรือกู้คืนข้อมูลบนอุปกรณ์ที่คุณมีอยู่แล้วได้

สิ่งที่ iCloud สำรองข้อมูลได้แก่:

  • ประวัติการซื้อเพลง ภาพยนตร์ รายการทีวี แอป และหนังสือ

    ข้อมูลสำรอง iCloud ของคุณจะมีข้อมูลเกี่ยวกับรายการที่คุณซื้อ แต่ไม่มีตัวเนื้อหาที่ซื้อ เมื่อคุณกู้คืนข้อมูลสำรองจาก iCloud รายการที่คุณซื้อจะถูกดาวน์โหลดโดยอัตโนมัติจาก iTunes Store, App Store หรือ iBooks Store รายการบางประเภทจะไม่ได้รับการดาวน์โหลดโดยอัตโนมัติในทุกประเทศ และรายการซื้อก่อนหน้าอาจจะใช้งานไม่ได้ ถ้ารายการนั้นมีการคืนเงินไปแล้วหรือไม่มีในร้านค้าอีกต่อไป สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ดูที่บทความการบริการช่วยเหลือ Apple ความพร้อมของ iTunes ใน Cloud ในแต่ละประเทศ รายการบางประเภทไม่ได้มีให้บริการในทุกประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูบทความการสนับสนุนของ Apple Support ฉันสามารถซื้ออะไรจาก iTunes Store ในประเทศของฉันได้บ้าง

  • รูปภาพและวิดีโอบนอุปกรณ์ iOS ของคุณ จนกว่าคุณจะเปิด คลังรูปภาพ iCloud รุ่นเบต้า บนอุปกรณ์ iOS 8.1 ของคุณ ถ้าคุณเปิด คลังรูปภาพ iCloud รุ่นเบต้า รูปภาพและวิดีโอของคุณก็จะถูกเก็บไว้แล้วใน iCloud ข้อมูลเหล่านี้จึงไม่รวมอยู่ใน การสำรองข้อมูลใน iCloud ของคุณ

  • การตั้งค่าอุปกรณ์

  • ข้อมูลแอป

  • การจัดระเบียบหน้าจอหลักและแอป

  • iMessage, ข้อความ (SMS) และข้อความ MMS

  • เสียงเรียกเข้า

  • Visual Voicemail

อุปกรณ์ iOS จะสำรองเฉพาะข้อมูลและการตั้งค่าที่เก็บไว้บนอุปกรณ์ของคุณเท่านั้น โดยจะไม่รวมถึงข้อมูลที่เก็บไว้แล้วใน iCloud ตัวอย่างเช่นรายชื่อ ปฏิทิน ที่คั่นหน้า ข้อความเมล บันทึก อัลบั้มรูปภาพที่ใช้ร่วมกัน คลังรูปภาพ iCloud รุ่นเบต้า ชุดสตรีมข้อมูลภาพของฉัน และเอกสารที่คุณบันทึกใน iCloud โดยใช้แอป iOS และแอป Mac

เรียนรู้วิธีแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi บน Mac ของคุณ

 

OS X Mountain Lion v10.8.4 หรือใหม่กว่า

ใช้แอปพลิเคชั่นการวินิจฉัยสัญญาณไร้สายที่มีอยู่ใน OS X Mountain Lion v10.8.4 และใหม่กว่า เพื่อระบุและแก้ปัญหา Wi-Fi สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดู เกี่ยวกับการวินิจฉัยสัญญาณไร้สาย


OS X v10.7 Lion และ Mac OS X v10.6

หมายเหตุ: ภาพหน้าจอและตัวเลือกเมนูเฉพาะในบทความนี้ใช้ได้กับ OS X Lion v10.7 และใหม่กว่า แนวคิดนั้นเป็นแนวคิดเดียวกับ Mac OS X v10.6 Snow Leopard ยกเว้น AirPort จะปรากฏแทนที่ Wi-Fi ในที่ต่างๆ เช่นบานหน้าต่างเครือข่ายของการตั้งค่าระบบ

สิ่งที่ต้องจัดเตรียม

อันดับแรก ระบุว่าปัญหาคืออะไร การทราบว่าสิ่งที่ผิดพลาดคืออะไรจะช่วยให้คุณสามารถระบุขั้นตอนการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องได้

  1. ปัญหาเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ Wi-Fi มากกว่าหนึ่งเครื่องหรือไม่
    • ปัญหา Wi-Fi อาจมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายที่มีปัญหาหรืออาจมีความเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ Wi-Fi ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายนั้น โดยปกติแล้ว หากคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เครื่องอื่นๆ (เช่น Apple TV หรือ iPhone) สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยไม่มีปัญหา แสดงว่าเราเตอร์ Wi-Fi ของคุณก็น่าจะไม่มีปัญหา
    • หากคุณมีอุปกรณ์ Wi-Fi เครื่องเดียว ให้อ่านบทความนี้ต่อ
  2. ตรวจสอบว่าซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    • ติดตั้งการอัปเดตซอฟต์แวร์ทั้งหมดที่มีสำหรับ Mac ของคุณ
    • หากคุณใช้เราเตอร์ Wi-Fi ของบริษัทอื่นๆ ให้ตรวจสอบกับผู้ผลิตเพื่อยืนยันว่าคุณได้ติดตั้งเฟิร์มแวร์ล่าสุดแล้ว หากมีการอัปเดต ให้ทำตามคำแนะนำของผู้ผลิตเพื่ออัปเดตเฟิร์มแวร์
    • เมื่อต้องการระบุว่าเฟิร์มแวร์สถานีฐาน Wi-Fi ของ Apple ของคุณเป็นเวอร์ชันล่าสุดหรือไม่ โปรดดูการอัปเดตซอฟต์แวร์ของคุณ
  3. ตรวจสอบการเชื่อมต่อของคุณ
    • ปัญหาเครือข่ายบางอย่างอาจมาจากสายที่หลวมหรือหลุด ตรวจสอบว่าสายอีเธอร์เน็ตและสายไฟที่เชื่อมต่อระหว่างโมเด็มของคุณและเราเตอร์ Wi-Fi ของคุณเชื่อมต่อถูกต้อง การตรวจสอบว่าอุปกรณ์เช่น เราเตอร์และโมเด็มเปิดอยู่ การถอดสายและค่อยๆ เสียบสายอีเธอร์เน็ตใหม่ และ/หรือการเปลี่ยนสายอีเธอร์เน็ตที่เสียหายอาจสามารถแก้ไขปัญหาโดยไม่ต้องทำการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติมได้
  4. ตรวจสอบว่าคุณกำลังใช้การตั้งค่าที่แนะนำสำหรับอุปกรณ์ของคุณ
  5. รีสตาร์ทอุปกรณ์เครือข่ายของคุณ
    • การปิดโมเด็มหรือเราเตอร์เป็นเวลาสองสามวินาทีจากนั้นเปิดใหม่อาจแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเครือข่ายได้โดยไม่ต้องแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม หากคุณใช้บริการโทรศัพท์ผ่าน ISP ของคุณ การหมุนเวียนพลังงานโมเด็มของคุณอาจเป็นการขัดจังหวะบริการดังกล่าว คุณอาจต้องติดต่อ ISP ของคุณเพื่อให้กู้คืนบริการโทรศัพท์ของคุณ ถ้ามีการรีเซ็ตหรือปิดโมเด็มของคุณ ตรวจสอบว่ามีวิธีการอื่นในการติดต่อ ISP ของคุณ (เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความล่าช้าในการเรียกคืนบริการอินเตอร์เน็ตหรือโทรศัพท์

การแก้ไขปัญหา

คลิกลิงก์วิธีแก้ปัญหาที่ปรากฏด้านล่างอาการของ Wi-Fi

อาการ: Mac ของฉันไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต

  • เว็บเพจไม่เปิดใน Safari หรือเว็บเบราว์เซอร์อื่น หน้าเหล่านี้อาจว่างหรือคุณอาจได้รับการเตือนว่า "คุณไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต"
  • แอปพลิเคชั่นอินเทอร์เน็ตเช่น Mail, iChat หรือ App Store ไม่สามารถเชื่อมต่อกับบริการได้

หมายเหตุ: เราเตอร์อาจถูกกำหนดค่าให้อนุญาตบริการบางอย่างใช้อินเทอร์เน็ต (เช่น Mail) ได้ขณะป้องกันไม่ให้บริการอื่นๆ ใช้อินเทอร์เน็ตได้ (เช่น เว็บเบราว์เซอร์) หากคุณไม่แน่ใจว่าเครือข่ายของคุณถูกกำหนดค่าในลักษณะนี้หรือไม่ ให้ติดต่อผู้ดูแลระบบเครือข่ายของคุณ หากเครือข่ายของคุณไม่ถูกกำหนดค่าในลักษณะนี้และแอปพลิเคชั่นอินเทอร์เน็ตบางอย่างทำงาน และบางอย่างไม่ทำงาน แสดงว่าปัญหาอาจมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่าย Wi-Fi ของคุณ

วิธีแก้ไข

ใช้ขั้นตอนเหล่านี้หากคอมพิวเตอร์ของคุณไม่สามารถใช้งานออนไลน์ได้

  1. ตรวจสอบว่า Wi-Fi เปิดอยู่

    Mac OS X จะอนุญาตให้คุณปิดการ์ด Wi-Fi (AirPort) ของคุณอย่างสมบูรณ์ในกรณีที่คุณไม่ต้องการใช้ บางครั้ง การ์ด Wi-Fi อาจถูกปิดโดยไม่ได้ตั้งใจ หากอินเทอร์เฟซ Wi-Fi ของคุณเปิดอยู่และเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi เมนู Wi-Fi จะเป็นตัวหนา เมนู Wi-Fi จะอยู่ที่มุมขวาบนของหน้าจอ

    แถบเมนู AirPort

    หากเมนูของคุณมีลักษณะเหมือนด้านลน แสดงว่าคอมพิวเตอร์ของคุณเชื่อมต่ออยู่กับเครือข่าย Wi-Fi ให้ไปยังขั้นตอนที่ 2 ด้านล่าง

    หาก Wi-Fi ปิดอยู่ ให้เลือก เปิด Wi-Fi จากเมนู

    หมายเหตุ: หากเมนู Wi-Fi มีเครื่องหมายตกใจ โปรดดูบทความนี้

    หากไอคอนไม่ปรากฏในแถบเมนู ให้เลือก การตั้งค่าระบบ จากเมนู Apple คลิกไอคอน เครือข่าย จากนั้นเลือก Wi-Fi ทำเครื่องหมายในช่องถัดจาก "แสดงสถานะ Wi-Fi ในแถบเมนู"

    หากอินเทอร์เฟซ Wi-Fi ของคุณไม่ปรากฏในการตั้งค่าระบบ แสดงว่าคุณจะต้องตรวจสอบว่าการ์ด Wi-Fi ของคุณปรากฏใน Mac ของคุณ เริ่มจากสื่อการติดตั้งที่มาพร้อมกับคอมพิวเตอร์ของคุณ หรือจาก Recovery HD หากได้ติดตั้ง OS X Lion คอมพิวเตอร์ของคุณควรสามารถเข้าถึงเครือข่ายที่ใช้งานได้

  2. หากคุณยังไม่สามารถใช้งานออนไลน์ได้ ให้ตรวจสอบว่าคอมพิวเตอร์ของคุณได้เชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi ที่ถูกต้อง

    เครือข่าย Wi-Fi ของคุณควรอยู่ในรายการในเมนู Wi-Fi เครือข่าย Wi-Fi ที่ Mac ของคุณเชื่อมโยงจะถูกเลือกดังแสดงด้านล่าง:

    เลือกเครือข่ายของคุณหากยังไม่ได้เลือก หากเครือข่าย Wi-Fi ของคุณมีการป้องกันด้วยรหัสผ่าน คุณจะถูกพร้อมท์ให้ป้อนรหัสผ่านดังแสดงด้านล่าง

    การรับรองความถูกต้องของ AirPort

    หมายเหตุ: หากคุณไม่ทราบรหัสผ่านของเครือข่ายของคุณ คุณจะต้องติดต่อผู้ดูแลระบบเครือข่าย Wi-Fi ของคุณ หากคุณเป็นผู้ดูแลระบบ/เจ้าของเครือข่าย คุณอาจต้องกำหนดค่าเราเตอร์ของคุณเพื่อกำหนดรหัสผ่านสำหรับเครือข่าย

    เครือข่าย Wi-Fi ของคุณอาจไม่สามารถมองเห็นได้ในรายการ หากเครือข่ายปิดอยู่ เครือข่ายจะไม่ประกาศชื่อเครือข่าย ในการเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi ให้เลือก เข้าร่วมเครือข่ายอื่น จากเมนู Wi-Fi คุณจะถูกพร้อมท์ให้ป้อนชื่อเครือข่ายและการตั้งค่าความปลอดภัย

    การรับรองความถูกต้องเครือข่ายที่ปิดของ AirPort

    ป้อนชื่อของเครือข่ายของคุณแล้วเลือก ความปลอดภัย ที่เครือข่ายของคุณใช้

    หากเครือข่ายของคุณยังไม่สามารถมองเห็นได้ในรายการเครือข่าย Wi-Fi ของคุณ แสดงว่าเครือข่ายอาจกำลังใช้ Wi-Fi มาตรฐานที่ใช้งานร่วมกันไม่ได้ Mac ส่วนใหญ่จะรองรับ Wi-Fi มาตรฐานทั่วไปทั้งหมด วิธีตรวจสอบว่ามาตรฐานใดบ้างที่ Mac รองรับ ใช้ ยูทิลิตี้เครือข่าย ตั้งค่าอินเทอร์เฟซเครือข่ายเป็น Wi-Fi แล้วตรวจสอบข้อมูลที่อยู่หลัง "รุ่น:"

  3. หากคอมพิวเตอร์ของคุณได้เชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi ที่ถูกต้องแล้วแต่คุณยังไม่สามารถใช้งานออนไลน์ได้ คุณควรตรวจสอบการตั้งค่า TCP/IP ในบานหน้าต่าง เครือข่าย ของการตั้งค่าระบบ
    1. เลือก การตั้งค่าระบบ จากเมนู Apple
    2. เลือก เครือข่าย จากเมนู มุมมอง
    3. เลือก Wi-Fi จากนั้นคลิกปุ่ม ขั้นสูง ในมุมซ้ายล่างของหน้าจอ
    4. เลือกแท็บ TCP/IP จากด้านบนของหน้าจอ
    5. หน้าต่างของคุณควรมีลักษณะดังนี้ (การกำหนดค่า IPv4 ของคุณอาจแตกต่างและที่อยู่ IPv4 จะแตกต่างอย่างแน่นอน):

       

    6. หากไม่มีที่อยู่ IPv4 ปรากฏอยู่ หรือหากที่อยู่ IP เริ่มด้วย "169.254.xxx.xxx" ให้คลิก "ต่ออายุการเช่าช่วงเวลา DHCP"
    7. สอบถามผู้ดูแลระบบเครือข่ายของคุณเพื่อระบุการตั้งค่า TCP/IP ที่ถูกต้องสำหรับเครือข่าย Wi-Fi ของคุณ หากไม่มีการตั้งค่า TCP/IP ที่ถูกต้องแล้ว คอมพิวเตอร์ของคุณจะไม่สามารถใช้งานออนไลน์ได้ 
    8. หากการตั้งค่า TCP/IP ของคุณปรากฏว่าถูกต้องแล้ว คอมพิวเตอร์ของคุณยังไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ให้ตรวจสอบแท็บ DNS ดูแท็บนี้ด้านล่าง DNS คือบริการอินเทอร์เน็ตที่จะแปลที่อยู่ IP ให้เป็น URL และในทางกลับกัน การกำหนดค่า DNS จะอนุญาตให้คอมพิวเตอร์ของคุณเชื่อมต่อกับ www.apple.com โดยไม่ต้องป้อนที่อยู่ IP เฉพาะของเซิร์ฟเวอร์ Apple

    9. คุณอาจต้องติดต่อ ISP ของคุณสำหรับที่อยู่ DNS หรือใช้ DNS ที่ผู้ให้บริการสาธารณะให้ไว้ เมื่อต้องการเพิ่มที่อยู่ DNS ใหม่ เพียงคลิกปุ่ม + แล้วป้อนที่อยู่ IP สำหรับ DNS นั้น
       
  4. ลองเชื่อมต่อกับเราเตอร์ของคุณผ่านอีเธอร์เน็ต หาก Mac ของคุณมีอีเธอร์เน็ต เชื่อมต่อสายอีเธอร์เน็ตโดยตรงกับเราเตอร์ Wi-Fi ของคุณจากคอมพิวเตอร์ของคุณ
  5. ตรวจสอบช่วงไปยังเราเตอร์ Wi-Fi และลดการรบกวน หากคอมพิวเตอร์ของคุณไกลจากเราเตอร์ Wi-Fi เกินไปหรือสภาพแวดล้อมการทำงานของคุณมีการรบกวน Wi-Fi มากเกินไป คอมพิวเตอร์ของคุณอาจไม่สามารถตรวจจับเครือข่าย Wi-Fi อย่างถูกต้องได้ วิธีที่ง่ายที่สุดในการตรวจสอบขีดจำกัดของช่วงกับเครือข่าย Wi-Fi ของคุณคือการย้ายคอมพิวเตอร์ของคุณหรือเราเตอร์ Wi-Fi ของคุณให้ใกล้กันมากขึ้นแล้วตรวจสอบว่าไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ (เช่น ผนัง ตู้ เป็นต้น) ระหว่างเราเตอร์และคอมพิวเตอร์ของคุณ

    โปรดดู แหล่งที่อาจรบกวนสัญญาณไร้สาย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรบกวน สาเหตุ และวิธีแก้ไข

  6. ลองเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi อื่น

    หากคอมพิวเตอร์ของคุณไม่มีอาการเมื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi อื่น แสดงว่าปัญหาอาจมีความเกี่ยวข้องกับเราเตอร์เครือข่ายหรือ ISP ของคุณ ในกรณีนั้น คุณควรติดต่อผู้ผลิตเราเตอร์หรือ IPS ของคุณ


อาการ: เครือข่าย Wi-Fi ดูเหมือนทำงานช้า

  • การสตรีมภาพยนตร์อาจข้ามหรือหยุดชั่วคราว
  • iTunes หรือการดาวน์โหลดอื่นๆ อาจใช้เวลานานเกินไปในการดาวน์โหลดให้เสร็จสมบูรณ์
  • เว็บเพจอาจไม่โหลดอย่างรวดเร็ว

วิธีแก้ไข

หากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตช้าบนคอมพิวเตอร์ของคุณ ให้ยืนยันว่าเครือข่ายของคุณรองรับมาตรฐาน Wi-Fi ที่ถูกต้อง 802.11n จะให้ความเร็ว Wi-Fi ที่เร็วที่สุด มาตรฐานอื่นๆ ก็มีความเร็วเช่นกัน แต่คุณควรยืนยันว่าคอมพิวเตอร์ของคุณกำลังใช้โปรโตคอลที่เร็วที่สุดที่มีอยู่

  1. กดคีย์ Option ค้างไว้ขณะคลิกเมนู Wi-Fi

    คีย์ Option ของ AirPort

    เส้นโหมด PHY จะแสดงโปรโตคอลที่คอมพิวเตอร์ของคุณใช้ในการเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi หากโปรโตคอล 802.11 ที่คาดคิดไว้แสดงอยู่ คุณควรตรวจสอบการตั้งค่าของเราเตอร์ Wi-Fi ของคุณ ให้สอบถามผู้ผลิตเราเตอร์ของคุณสำหรับข้อมูลเกี่ยวกับการกำหนดค่า

  2. ปิดใช้งานบริการเครือข่ายอื่นๆ ที่ใช้งานอยู่ บริการเครือข่ายที่ใช้งานอยู่จะใช้แบนด์วิธที่มีอยู่ส่วนหนึ่ง ตัวอย่างของบริการเหล่านี้คือ เซิร์ฟเวอร์ไฟล์ การสตรีมวิดีโอ เกมออนไลน์ และอื่นๆ เมื่อบริการเหล่านี้ใช้งานอยู่ อาจทำให้บริการอื่นๆ ช้าลงได้ ลองปิดแอปพลิเคชั่นเครือข่ายที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อเพิ่มความเร็วของแอปพลิเคชั่นอื่น โปรดทราบว่าคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เครื่องอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายของคุณอาจมีส่วนทำให้ประสิทธิภาพลดลง หากคุณไม่แน่ใจว่าคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกับเครือข่าย Wi-Fi ของคุณทำให้ประสิทธิภาพลดลงหรือไม่ ให้ลองปิดหรือยกเลิกการเชื่อมต่อจากเครือข่าย

  3. ใช้การรับรองความถูกต้อง WPA2 หากมี โหมดการรับรองความถูกต้อง WPA2 จะตรงตามมาตรฐานสูงสุดในการใช้งานกับ Wi-Fi และควรใช้เพื่อให้ความเร็วที่ดีที่สุดสำหรับเครือข่าย Wi-Fi รุ่นใหม่ วิธีการรับรองความถูกต้องอื่นๆ อาจลดประสิทธิภาพของเครือข่าย Wi-Fi ของคุณได้ ในการเปลี่ยนวิธีการรับรองความถูกต้องที่เราเตอร์ Wi-Fi ใช้ คุณจะต้องติดต่อผู้ผลิต

  4. ตรวจสอบช่วงไปยังเราเตอร์ Wi-Fi และลดการรบกวน หากคอมพิวเตอร์ของคุณไกลจากเราเตอร์ Wi-Fi เกินไปหรือสภาพแวดล้อมการทำงานของคุณมีการรบกวน Wi-Fi มากเกินไป คอมพิวเตอร์ของคุณอาจไม่สามารถตรวจจับเครือข่าย Wi-Fi อย่างถูกต้องได้ วิธีที่ง่ายที่สุดในการตรวจสอบขีดจำกัดของช่วงกับเครือข่าย Wi-Fi ของคุณคือการย้ายคอมพิวเตอร์ของคุณหรือเราเตอร์ Wi-Fi ของคุณให้ใกล้กันมากขึ้นแล้วตรวจสอบว่าไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ (เช่น ผนัง ตู้ เป็นต้น) ระหว่างเราเตอร์และคอมพิวเตอร์ของคุณ

    โปรดดู แหล่งที่อาจรบกวนสัญญาณไร้สาย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรบกวนและวิธีแก้ไข

  5. ลองเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi อื่น หากคอมพิวเตอร์ของคุณทำงานตามปกติเมื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi อื่น แสดงว่าปัญหาอาจมีความเกี่ยวข้องกับเราเตอร์เครือข่ายหรือ ISP ของคุณ ในกรณีนั้น ให้ติดต่อผู้ผลิตเราเตอร์หรือ IPS ของคุณ


อาการ: การเชื่อมต่อเครือข่ายหลุดอย่างไม่คาดคิด

  • Mac ของคุณอาจไม่เชื่อมต่ออย่างต่อเนื่องกับเครือข่าย Wi-Fi ของคุณอย่างน่าเชื่อถือได้
  • Mac ของคุณอาจหยุดเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตขณะใช้งาน

วิธีแก้ไข

ใช้ขั้นตอนเหล่านี้หากคอมพิวเตอร์ของคุณหลุดจากการเชื่อมต่อจากเครือข่าย Wi-Fi อย่างไม่คาดคิด

  1. ตรวจสอบช่วงไปยังเราเตอร์ Wi-Fi และลดการรบกวน

    หากคอมพิวเตอร์ของคุณไกลจากเราเตอร์ Wi-Fi เกินไปหรือสภาพแวดล้อมการทำงานของคุณมีการรบกวน Wi-Fi มากเกินไป คอมพิวเตอร์ของคุณอาจไม่สามารถตรวจจับเครือข่าย Wi-Fi อย่างถูกต้องได้ วิธีที่ง่ายที่สุดในการตรวจสอบขีดจำกัดของช่วงกับเครือข่าย Wi-Fi ของคุณคือการย้ายคอมพิวเตอร์ของคุณหรือเราเตอร์ Wi-Fi ของคุณให้ใกล้กันมากขึ้นแล้วตรวจสอบว่าไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ (เช่น ผนัง ตู้ เป็นต้น) ระหว่างเราเตอร์และคอมพิวเตอร์ของคุณ

    โปรดดู แหล่งที่อาจรบกวนสัญญาณไร้สาย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรบกวนและวิธีแก้ไข
  2. ลองเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi อื่น หากคอมพิวเตอร์ของคุณทำงานตามปกติเมื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi อื่น แสดงว่าปัญหาอาจมีความเกี่ยวข้องกับเราเตอร์เครือข่ายหรือ ISP ของคุณ ในกรณีนั้น ให้ติดต่อผู้ผลิตเราเตอร์หรือ IPS ของคุณ

อาการ: หลังจากรีสตาร์หรือปลุกจากการพักเครื่อง คอมพิวเตอร์ของฉันอาจไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต

  • หลังจากปลุกจากการพักเครื่องหรือเริ่มต้นการทำงาน คอมพิวเตอร์ของคุณอาจไม่แสดงว่ากำลังเชื่อมต่ออยู่กับเครือข่าย Wi-Fi
  • หลังจากรีสตาร์หรือปลุกเครื่อง คอมพิวเตอร์ของคุณอาจแสดงว่าได้เชื่อมต่อกับเครือข่าย แต่ไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต

 

วิธีแก้ไข

ใช้ขั้นตอนเหล่านี้หากคอมพิวเตอร์ของคุณไม่เชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi ที่คุณต้องการโดยอัตโนมัติ

1. ตรวจสอบการตั้งค่า TCP/IP ของคุณในบานหน้าต่าง เครือข่าย ของการตั้งค่าระบบ คลิกปุ่ม "ต่ออายุการเช่าช่วงเวลา DHCP"

  1. เลือก การตั้งค่าระบบ จากเมนู Apple
  2. เลือก เครือข่าย จากเมนู มุมมอง
  3. เลือก Wi-Fi จากนั้นคลิกปุ่ม ขั้นสูง ในมุมซ้ายล่างของหน้าจอ
  4. คลิกแท็บ TCP/IP จากด้านบนของหน้าจอ
  5. คลิกปุ่ม "ต่ออายุการเช่าช่วงเวลา DHCP"

2. เลือกแท็บ Wi-Fi แล้วดูรายการ เครือข่ายที่แนะนำ ของคุณ

  1. เลือกแต่ละเครือข่ายแล้วคลิกเครื่องหมาย ลบ (-) เพื่อลบเครือข่ายเหล่านั้นออกจากรายการ เครือข่ายที่แนะนำ ของคุณ
  2. คลิก ตกลง แล้วปิดการตั้งค่าเครือข่าย

3. ลบรหัสผ่านของเครือข่ายที่จัดเก็บไว้ของคุณโดยใช้ ยูทิลิตี้การเข้าถึงพวงกุญแจ

  1. เปิดการเข้าถึงพวงกุญแจจาก /แอปพลิเคชั่น/ยูทิลิตี้ หน้าต่างของคุณจะมีลักษณะดังนี้:
  2. ลบรหัสผ่านเครือข่าย AirPort ของคุณจากพวงกุญแจล็อกอิน: เลือกพวงกุญแจ "ล็อกอิน" จากแถบด้านข้างของพวงกุญแจ คลิกคอลัมน์ "ชนิด" เพื่อสั่งรายการพวงกุญแจตามชนิดพวงกุญแจ ลบรายการทั้งหมดของชนิดนั้นออก: "รหัสผ่านของเครือข่าย AirPort"
  3. ลบรหัสผ่านของเครือข่าย AirPort ของคุณออกจากพวงกุญแจระบบ: เลือกพวงกุญแจ "ระบบ" จากแถบด้านข้างของพวงกุญแจ คลิกคอลัมน์ "ชนิด" เพื่อสั่งรายการพวงกุญแจตามชนิดพวงกุญแจ ลบรายการทั้งหมดของชนิดนั้นออก: "รหัสผ่านของเครือข่าย AirPort"

    หมายเหตุ: ขั้นตอนด้านบนจะเป็นการลบรหัสผ่านเครือข่าย Wi-Fi ของคุณออก หากคุณไม่ทราบรหัสผ่าน หรือหากเครือข่ายของคุณไม่ใช้รหัสผ่านเพื่อจำกัดการเข้าถึง คุณควรติดต่อผู้ดูแลระบบเครือข่ายของคุณ

4. รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ของคุณ

5. เชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi ของคุณ คุณจะต้องป้อนรหัสผ่านของคุณสำหรับเครือข่ายอีกครั้งหากจำเป็น

 

Apple ID ประกอบด้วยที่อยู่อีเมล (ตัวอย่างเช่น This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.) และรหัสผ่านที่คุณกำหนดไว้ตอนสร้าง Apple ID

คุณสามารถมีได้มากกว่าหนึ่ง Apple ID ตัวอย่างเช่น คุณอาจมีหนึ่ง Apple ID ที่คุณใช้กับ iTunes Store, App Store และ Apple Online store และอีกหนึ่ง ID สำหรับ iCloud และ FaceTime

การสร้าง Apple ID

การสร้าง Apple ID มีหลายวิธี:

  • ในการตั้งค่า iCloud ให้คลิก "สร้าง an Apple ID"

  • ไปที่เว็บไซต์ Apple ID ของฉัน

    เว็บไซต์ Apple ID ของฉัน

  • สร้าง Apple ID ในแอปที่ใช้ Apple ID เช่น iPhoto

เรียนรู้วิธีใช้ Apple ID เพื่อรีเซ็ตรหัสผ่านบัญชีผู้ใช้ของคุณได้

 

ใช้ Apple ID ของคุณเพื่อเลือกซื้อที่ iTunes Store เข้าสู่ระบบที่ iChat หรือ iCloud ทำการสำรองด้วย Genius และเข้าถึงการสนับสนุนใน Apple.com และอื่นๆ ใน OS X Lion หรือใหม่กว่า คุณสามารถใช้ Apple ID เพื่อรีเซ็ตรหัสผ่านบัญชีผู้ใช้ของคุณได้อีกด้วย ในกรณีที่คุณจำไม่ได้ว่ารหัสผ่านบัญชี OS X ของคุณคืออะไร

Apple ID คืออะไร

Apple ID จะทำให้คุณสามารถปรับประสบการณ์ Apple ของคุณให้เป็นส่วนตัวได้ คุณใช้ Apple ID ของคุณเพื่อเข้าแหล่งข้อมูลของ Apple ที่จำเป็นต้องให้คุณระบุตัวตนของคุณ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Apple ID

วิธีการอนุญาตให้ Apple ID ของคุณรีเซ็ตรหัสผ่านผู้ใช้ OS X

เมื่อคุณเริ่มต้นระบบ OS X หรือ Mac เครื่องใหม่ที่ใช้ OS X Lion หรือใหม่กว่าเป็นครั้งแรก คุณจะเข้าตัวช่วยติดตั้ง OS X ซึ่งคุณจะถูกขอให้ใส่ Apple ID หลังจากใส่ Apple ID ของคุณแล้ว ให้เลือกตัวเลือก "ยอมให้ Apple ID ของฉันรีเซ็ตรหัสผ่านผู้ใช้นี้" ระหว่างขั้นตอน "สร้างบัญชีคอมพิวเตอร์ของคุณ"

ถ้าคุณไม่ได้ใส่ Apple ID ของคุณในระหว่างที่ใช้ตัวช่วยติดตั้ง OS X หรือ Mac ของคุณมีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว คุณสามารถทำตามขั้นตอนเหล่านี้ได้:

  1. เปิด การตั้งค่าระบบ จากนั้นคลิก ผู้ใช้ และกลุ่ม
  2. เพื่อผูก Apple ID เข้ากับบัญชีผู้ใช้ OS X ของคุณ ให้คลิกปุ่ม Apple ID: "ตั้งค่า..." และใส่ชื่อ Apple ID และรหัสผ่าน หรือคลิก "สร้าง Apple ID..." เพื่อสร้าง Apple ID ใหม่ โดยใช้ Safari
  3. เลือกกล่องกาเครื่องหมาย "ยอมให้ผู้ใช้รีเซ็ตรหัสผ่านโดยใช้ Apple ID"

หมายเหตุ: Mac ที่เปิดใช้งาน FileVault 2 จะไม่แสดงข้อความ "ยอมให้ผู้ใช้รีเซ็ตรหัสผ่านโดยใช้ Apple ID" เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ FileVault 2 รวมถึงวิธีรีเซ็ตรหัสผ่าน 
 

เพื่อรีเซ็ตรหัสผ่านผู้ใช้ OS X ของคุณด้วย Apple ID ของคุณ

ถ้าคุณใส่รหัสผ่านบัญชีของคุณไม่ถูกต้องในหน้าต่างการเข้าสู่ระบบสามครั้ง ข้อความว่า "หากคุณลืมรหัสผ่านของคุณ คุณสามารถรีเซ็ตโดยใช้ Apple ID ของคุณ" จะปรากฏขึ้น คลิกไอคอนลูกศรในวงกลมเพื่อเรียกหน้าต่างโต้ตอบ "รีเซ็ตรหัสผ่าน" ขึ้นมา ใส่ Apple ID ของคุณและรหัสผ่าน จากนั้นคลิก "รีเซ็ตรหัสผ่าน" เพื่อดำเนินการ

หมายเหตุ: ในบางกรณี คุณอาจไม่ได้รับโอกาสให้รีเซ็ตรหัสผ่านหลังจากใส่รหัสผิดสามครั้ง ถ้าเป็นเช่นนี้ ให้เปิดการตั้งค่าผู้ใช้และกลุ่ม ลบ Apple ID ที่มีปัญหา จากนั้นเพิ่ม Apple ID เดิมกลับเข้าไป ปัญหานี้อาจเกิดขึ้นได้หลังการอัปเกรดจาก Mac OS X v10.6 เป็น OS X Lion

หมายเหตุ: การเปลี่ยนรหัสผ่านบัญชีผู้ใช้จะสร้างพวงกุญแจใหม่ พวงกุญแจก่อนหน้านี้จะยังคงมีอยู่ และสามารถเข้าถึงได้ถ้าคุณจำรหัสผ่านก่อนหน้านี้ได้ในภายหลัง

คลิก "ตกลง" ในหน้าต่างโต้ตอบที่ปรากฏขึ้นเพื่อแจ้งให้คุณทราบเกี่ยวกับพวงกุญแจใหม่

ใส่รหัสผ่านใหม่ ยืนยันรหัสผ่านและช่องคำใบ้รหัสผ่าน จากนั้นคลิก "รีเซ็ตรหัสผ่าน" เพื่อดำเนินการ

คลิก "ทำการเข้าสู่ระบบต่อ" เพื่อเข้าสู่ระบบให้เสร็จเรียบร้อยโดยใช้รหัสผ่านใหม่ที่คุณเพิ่งจะสร้างไป

แก้ไขล่าสุด:

Time Machine คือคุณสมบัติข้อมูลสำรองในตัวของ OS X ซึ่งจะทำให้สำเนาไฟล์ทั้งหมดของคุณไว้ และจดจำวิธีการที่ระบบของคุณมองหาไฟล์ในวันที่กำหนดเพื่อคุณจะสามารถกลับมาใช้งาน Mac ของคุณตามลักษณะที่เป็นอยู่ในอดีตได้

มีหลายวิธีในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อให้คุณสามารถเลือกดูเว็บ ดาวน์โหลดการอัปเดต หรือเล่นเกมออนไลน์

 

การได้รับการเชื่อมต่อ

คุณจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างไรนั้นขึ้นกับคุณอยู่ที่ใด ตัวอย่างเช่น ที่ทำงานของคุณอาจมีการเชื่อมต่ออีเธอร์เน็ตให้สำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณ เป็นต้น เมื่อคุณใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่คาเฟ่ คุณอาจใช้การเชื่อมต่อ Wi-Fi (ไร้สาย)

ใช้ผู้ช่วยการโยกย้ายสำหรับ Windows เพื่อโยกย้ายไฟล์ของคุณจาก PC ที่ใช้ Microsoft Windows ไปยัง Mac ที่ใช้ OS X Mountain Lion หรือ OS X Lion ผู้ช่วยการโยกย้ายจะถ่ายโอนรายชื่อ ปฏิทินและบัญชีอีเมลของคุณและอื่นๆ อีกมากมาย และใส่ไว้ในแอปพลิเคชันที่เหมาะสม 

Boot Camp ทำให้คุณเรียกใช้งาน Microsoft Windows บน Mac ได้ เรียนรู้วิธีที่ Boot Camp เรียกใช้งาน Windows และอะไรคือข้อกำหนดในการติดตั้ง

ค้นหา

บทความที่เกี่ยวข้อง

Free Joomla templates by L.THEME